ความศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ จะมีความศักดิ์สิทธิ์ได้ ก็ต้องมี “พลังอำนาจจิต” และพลังอำนาจจิตนั้นก็เป็นพลังที่มีอยู่ในธรรมชาติ อยู่ในจักรวาลนี้เองค่ะ เมื่อเราเลือกเส้นทางสายปาฎิหาริย์ หวังพึ่งพลังงานศักดิ์สิทธิ์ เราต้องมีกำลังจิตที่เข้มข้น และสั่นสะเทือนอยู่ในมิติสูง หลายครั้งการยอม หรือศิโรราบ ก็เป็นทางลัดเข้าสู่ความว่าง ไร้อัตตา พาตนเองเข้าสู่คลื่นพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์โดยไม่รู้ตัว

สังเกตุไหมว่า…มนุษย์เรานี่ เวลาเจอเรื่องทุกข์แบบหนักหนาสาหัส จนตรอก หาทางไปไม่เจอ เขาจะสวดอ้อนวอนอย่างศิโรราบ ยอม..ยอมทุกอย่างขอให้ผ่านพ้นไปได้ สภาวะที่เขายอม เขาน้อมตนลงจนปราศจากอัตตานั้นแหล่ะค่ะ จิตของเขาได้เข้าสู่มิติที่สงบ เมื่อเขาสวดอ้อนวอน จิตอันสงบ เบา เพราะไร้อัตตาตัวตนของเขาได้เคลื่อนเข้าสู่มิติแห่งความว่าง ที่มีคลื่นความถี่สูงและละเอียด สงบ คือคลื่นแห่งพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์ และคำอธิษฐานของเขาก็มักจะปรากฎเสมอๆ

การยอม .. คือละ การวางอัตตาตัวตนลง ท่านจึงได้พบเห็นคำว่า ” จงเชื่อ จงศรัทธา สิ่งที่ท่านปรารถนาจะปรากฎ!! ” บ่อยๆ ใช่ไหม? เพราะเมื่อท่านศรัทธาในสิ่งใดๆก็ตาม ท่านจะน้อมตัวตนของท่านลง และ ย อ ม

ในชีวิตจริงนั้นท่านจะพบว่า..เราท่านทั้งหลาย ล้วนทุกข์เพราะอัตตา หรือตัวกู ของกู นั้นเอง ในสภาวะที่ไม่มีตัวกู ก็เป็นความว่าง ในความว่างนั้น ทุกข์ก็สำผัสไม่ได้ สุขก็สำผัสไม่ได้ กรรมก็สัมผัสไม่ได้ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายก็ไม่สามารถสัมผัสท่านได้ในความว่างนั้น ” ความว่าง ” คืออิทธิอำนาจอันสูงสุดของกาลจักร..

พระยันต์นะ.พระลักษณ์หน้าทองแห่งพระอาจารย์กฤษฎานั้น ท่านสร้าง ท่านปลุกเสกให้สุดวิเศษยิ่งทุกๆผืน เมื่อท่านได้รับไปแล้ว ท่านจงตั้งใจปฎิบัติบูชาตามคำแห่งครูเถิด สิริแห่งทองคำท่านจงลงให้ได้เช้าค่ำ และจุดเทียนนะ.พระลักษณ์หน้าทอง ปลุกพลังชีวิตเสริมพลังจิต อำนาจบารมี ทุกคืนเดือนเพ็ญ และคืนเดือนดับ หรือในวันจันทร์ที่ท่านเห็นว่าสมควร สิ่งอันปรารถนาทั้งปวงของท่านจะปรากฎได้จริง เมื่อท่านเชื่อ เมื่อท่านศรัทธา สิ่งที่ท่านปรารถนาจะปรากฎ!!