สสารย่อมมีการสูญสลาย นอกจากพลังงานเท่านั้นที่จะไม่สูญหาย เพราะพลังงานเกิดขึ้นจากสสารที่หายไป เป็นข้อพิสูจน์ทางสูตรคณิตศาสตร์ E=mc2 ของอัลเบิรต์ ไอน์สไตน์ ผู้ค้นพบทฤษฎีไฟโตอิเล็กตริกและทฤษฎีสัมพัทธภาพ แต่ในโลกของเวทมนต์มายาการ บันทึกทฤษฎีนี้ไว้มานานนับหมื่นปีแล้ว..
พลังงาน ในโลกของเวทย์มนต์มายาการนั้นไม่เคยสูญหายไปไหน แต่จะสถิตย์ ดำรง อยู่ในสสาร หรือแผ่สร้านคลื่นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าออกไปในกาลอากาศ ไปยึดโยงกับคลื่นพลังงานที่มีความถี่หยาบ-ละเอียดในระดับเดียวกัน หรือสสารที่คลื่นความถี่ต่างกัน แต่มาอยู่ใกล้กัน คลื่นที่แรงกว่าจะดึงดูดยึดโยงเอาคลื่นที่กำลังอ่อนกว่าค่อยๆ หลอมรวมเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน
ยกตัวอย่างง่ายๆ ให้คิดภาพออก ระลึกถึงความรู้สึกได้ว่า..
เคยไหม? ยามที่มีความทุกข์ใจ โศกเศร้า เผชิญกับปัญหาชีวิตสารพัดรุมเร้าเข้ามา จนคลื่นสมองว้าวุ่น อัดแน่นไปแต่คำว่าปัญหา จนไม่เหลือพื้นที่ให้สติปัญญาดำรงอยู่ได้ แล้วจิตก็พลันคิดอยากจะไปไหว้พระเสริมพลัง ภาวนา ขอพร ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ แค่เราก้าวพ้นธรณีวิหารคลื่นพลังงานเราก็จะสงบลงอย่างไม่ต้องบังคับ เพียงเรานั่งอย่างสงบเงียบ เบื้องหน้าองค์พระพุทธ พลังงานของเราก็จะผ่อนคลายและนิ่งสงบ เพราะพลังงานที่สถิตย์ในวิหาร ในองค์พระพุทธรูป เป็นคลื่นพลังงานที่ละเอียด ทั้งแรงมหาศรัทธาแห่งการให้ของผู้สร้าง ทั้งเสียงธรรมบรรยาย เสียงสวดสาธยายมนต์ ที่พระสังฆเจ้าท่านปฎิบัติภาวนามาทุกมื้อวันที่สะสมกำลังมานานเนิ่นนาน พลังงานแห่งสมาธิอันสงบ พลังงานแห่งการให้พร และอธิษฐานขอพร ทั้งขอให้ตนเอง และผู้อื่น จะเห็นว่า…ล้วนเป็นพลังงานที่ละเอียด เมื่อสถานที่ไหนมีการสะสม ตกค้างของพลังงานละเอียดมากๆ รูปธรรม จิตญาณชั้นสูง ที่มีคลื่นละเอียดก็จะมาสถิตย์อยู่ในสภาวะนั้น แม้เราจะเป็นก้อนกองพลังงานแห่งทุกข์เป็นคลื่นพลังงานต่ำอย่างไรก็ตาม เมื่อได้ย่างเหยียบพ้นธรณีวิหารเข้าไป พลังงานของเราจะถูกพลังงานชั้นสูงที่มีความเข้มข้นมากกว่าแผ่สร้านคลื่นพลังงานมารายล้อมและหลอมรวมเข้ากับพลังงานของเรา เป็นการยกระดับคลื่นพลังงานของเราแบบลัด!! และอย่างฉับพลัน!! ทำให้เรารู้สึกสงบได้เมื่ออยู่ในสถานที่นั้นๆ แม้เรากำหนดจิตให้เป็นสมาธิก็จะเชื่อมต่อกับรูปธรรมชั้นสูง หรือเทพเทวดา องค์คุรุได้ง่าย หมายถึง..คำอธิษฐานขอพรของเราก็จะสำเร็จได้ง่ายด้วย ซึ่งล้วนเป็นความหมายเดียวกันกับเครื่องรางวัตถุมงคลที่พุทธคุณสูง
หากอยากจะลองไปทดสอบดู ก็แนะนำให้ไปกราบพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ในวิหาร ไปเช้าๆหน่อย ช่วงเวลาที่ประตูวิหารเพิ่งเปิด เพื่อจะได้สัมผัสพลังงานอันบริสุทธิ์สงบ ยังไม่มีพลังงานจากบุคคลอื่นๆเข้ามาปะปนมากเกินไป เราก็จะรู้สึกถึงความสงบอย่างลึกซึ้งของพลังงานที่แผ่สร้านรายล้อมกาย – จิตของเรา เป็นการชาร์จพลังชีวิตที่ดีมาก
หรือหากใครเคยไปกราบพระเกจิอาจารย์ที่ท่านมีเมตตาธรรมญานสูงๆ เพียงนั่งห่างๆ กระแสพลังงานอันสงบ ละเอียดของท่านก็จะแผ่สร้านมาถึงเราจนรู้สึกได้ถึงความปิติ สงบสุข
บางสถานที่..ที่มีพลังงานสมาธิภาวนาตกค้างอยู่มาก หากเราไปภาวนาทำสมาธิที่สถานที่นั้น เราก็จะรู้สึกว่าสงบง่าย ดำรงอยู่ในสมาธิได้นานและง่ายๆ กว่าปรกติ
นี่คือโลกของพลังงาน หากเราต้องการเป็นคนโชคดี เราต้องพาตัวเองเข้าไปหาคลื่นพลังงานแห่งความโชคดี ความสุข สงบ หากเราต้องการเป็นที่รักต้องการความรัก เราต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในพลังงานที่สดชื่น สวยงาม เบิกบาน มีความสุข หากเราต้องการมั่งคั่งร่ำรวยก็เช่นกัน .. เราต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในคลื่นพลังงานของความสุข สงบ ปิติ เบิกบาน เพราะทั้งหมดที่ว่ามา ล้วนเป็นคลื่นพลังงานเดียวกัน !!!
เมื่อท่านอาราธนาบูชาวัตถุมงคลอันศักดิ์ไว้ พลังงานนั้น แรงครูนั้นก็ย่อมสถิตย์แก่ท่าน การหมั่นสาธยายคาถาปลุกฤทธิ์ทั้งเครื่องรางและเสริมพลังจิตของตนเอง อีกทั้งยังเป็นการอัญเชิญแรงครูมาประสิทธิเมแก่วัตถุมงคลและกาย-จิตท่าน อำนาจของเครื่องรางวัตถุมงคลนั้นก็จะยิ่งแผ่รังสีแสงแห่งอำนาจอย่างเด่นชัดและเข้มข้นขึ้น จนถึงขั้นเปลี่ยนพลังงานแห่งคำอธิษฐานให้ปรากฎขึ้นในโลกกายภาพ ยิ่งมีความเชื่อมั่น และศรัทธามีกำลังมากเท่าไหร่ แรงแห่งพลังงานก็จะยิ่งเข้มข้นเชื่อมโยงหลอมรวมจิตเราให้เป็นหนึ่งกับพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์ได้แรงเท่านั้น